Congestion Charge: ค่าธรรมเนียมการจราจรหนาแน่นในแต่ละประเทศ – ที่ประเทศไทยกำลังจะเริ่มใช้

Congestion Charge: ค่าธรรมเนียมการจราจรหนาแน่นในแต่ละประเทศ – แนวทางแก้ปัญหาการจราจรอย่างยั่งยืน?

การจราจรหนาแน่นในเมืองใหญ่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนจำนวนมาก ทั้งเรื่องของความล่าช้า มลพิษทางอากาศ และความเครียดจากการเดินทาง เพื่อจัดการกับปัญหานี้ หลายประเทศได้นำ  Congestion Charge หรือ ค่าธรรมเนียมการจราจรหนาแน่น มาใช้เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ในเขตเมือง และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือรูปแบบการเดินทางอื่นๆ มากขึ้น

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูว่า Congestion Charge ทำงานอย่างไร และมีการใช้งานในประเทศไหนบ้าง รวมถึงผลกระทบและประโยชน์ที่เกิดขึ้น

Congestion Charge คืออะไร?

Congestion Charge คือ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเข้ามาในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น มักเป็นเขตใจกลางเมืองหรือพื้นที่เศรษฐกิจหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดปริมาณรถยนต์และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด การเก็บค่าธรรมเนียมนี้ยังช่วยส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ หรือจักรยาน ซึ่งเป็นการลดมลพิษและส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว

ประเทศที่นำระบบ Congestion Charge มาใช้

1. ลอนดอน (London), สหราชอาณาจักร
ลอนดอนเป็นเมืองแรกที่เริ่มนำระบบ Congestion Charge มาใช้ในปี 2003 โดยเก็บค่าธรรมเนียมจากรถยนต์ที่เข้าสู่เขตใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ £15 ต่อวัน (ประมาณ 655 บาทไทย) (ณ ปี 2023) โดยเก็บในช่วงเวลา 7.00 น. - 22.00 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์

นอกจากการลดการจราจรติดขัดแล้ว ยังมีการใช้รายได้จากค่าธรรมเนียมในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันผลสำเร็จของระบบนี้สามารถลดปริมาณรถยนต์ในเขตใจกลางเมืองได้มากกว่า 20% และลดการปล่อยมลพิษได้อย่างชัดเจน

2. สตอกโฮล์ม (Stockholm), สวีเดน
สตอกโฮล์มเริ่มใช้ระบบ Congestion Charge ในปี 2007 โดยเก็บค่าธรรมเนียมในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ใช้ถนน และจะเก็บเฉพาะในช่วงวันทำงาน ปริมาณค่าธรรมเนียมจะอยู่ระหว่าง 11 ถึง 45 โครนสวีเดนต่อครั้ง (ประมาณ 35 - 137 บาท) (SEK) โดยสามารถเก็บได้สูงสุดไม่เกิน 135 โครนต่อวัน (ประมาณ 430 บาท)

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือการลดจำนวนรถยนต์ในพื้นที่ใจกลางเมืองได้ประมาณ 20% และการลดการปล่อยมลพิษในเมืองนี้ยังส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและทำให้การขนส่งสาธารณะสะดวกยิ่งขึ้น

3. สิงคโปร์ (Singapore)
สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เริ่มใช้ระบบเก็บค่าธรรมเนียมการจราจร (Electronic Road Pricing: ERP) ตั้งแต่ปี 1998 โดยใช้เทคโนโลยีที่ติดตั้งบนถนนและในรถยนต์ในการคำนวณค่าธรรมเนียม โดยระบบนี้มีการเก็บค่าธรรมเนียมตามจุดที่กำหนดไว้ เมื่อรถยนต์ผ่านจุดตรวจ ระบบจะหักค่าธรรมเนียมโดยอัตโนมัติ ค่าใช้จ่ายของการเก็บค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาและสถานที่ โดยมีเป้าหมายให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะหรือเลื่อนเวลาการเดินทางเพื่อลดปริมาณรถในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน

ระบบนี้สามารถช่วยลดปริมาณรถยนต์บนถนนในช่วงเร่งด่วนได้มากถึง 13% และยังช่วยควบคุมมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. มิลาน (Milan), อิตาลี
มิลานเริ่มใช้ระบบ Congestion Charge ในปี 2012 โดยเก็บค่าธรรมเนียมจากรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง และมีเป้าหมายที่การลดมลพิษในอากาศและลดการจราจรติดขัดในเขตใจกลางเมือง ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 5 ยูโรต่อวัน (ประมาณ 182 บาท)

ระบบนี้ส่งผลให้ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเมืองลดลงอย่างมาก และยังช่วยเพิ่มการใช้ขนส่งสาธารณะและจักรยานในเมืองมากขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของ Congestion Charge

1. ลดการจราจรติดขัด : การเก็บค่าธรรมเนียมช่วยลดปริมาณรถยนต์ส่วนตัวที่เข้าเมือง ทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น
2. ลดมลพิษทางอากาศ : เมื่อปริมาณรถยนต์ลดลง การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆ ก็ลดลงด้วย ส่งผลให้คุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้น
3. ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ : Congestion Charge กระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ซึ่งช่วยลดปัญหาการจราจรและการใช้พลังงานจากรถยนต์
4. เพิ่มรายได้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน : รายได้จากค่าธรรมเนียมสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

Congestion Charge เป็นวิธีการที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาการจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศในเขตเมือง แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดจำนวนรถยนต์ที่เข้ามาในเมือง แต่ยังส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะและวิธีการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้ขับขี่ แต่ผลกระทบที่ได้ในระยะยาวนั้นคือการสร้างเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและการขนส่งที่สะดวกสบายมากขึ้น

สำหรับประเทศที่ยังไม่ได้นำระบบนี้มาใช้ อาจเป็นทางเลือกในการจัดการปัญหาการจราจรและส่งเสริมความยั่งยืนในอนาคต